ระบบนิเวศ (Ecosystem)
ความสัมพันธ์ในระบบนิเวศ
ในสภาวะแวดล้อมแหล่งที่อยู่ต่างๆจะมีอิทธิพลก่อให้เกิดความสัมพันธ์กับสิ่งมีชีวิต แบ่งเป็น 2 ประเภทดังนี้
๑. ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสภาวะแวดล้อมทางกายภาพ(Physical factors) ได้แก่
๑.อุณหภูมิ
– ทำให้สัตว์อพยพย้ายถิ่นฐาน (Migration) เช่น นกปากห่าง นกนางแอ่นบ้าน
– ทำให้สัตว์ทะเลทรายออกหากินในเวลากลางคืน
– ทำให้เกิดการจำศีลหนีร้อน (Estivation) และหนีหนาว (Hibernation)
– มีผลต่ออัตราเมแทบอลิซึม
สัตว์เลือดเย็น อัตราเมแทบอลิซึมแปรตามอุณหภูมิ
สัตว์เลือดอุ่น อัตราเมแทบอลิซึมแปรผกผันกับอุณหภูมิ
– มีผลต่อการคายน้ำของพืช
– มีผลต่อการบานของดอกไม้ เช่น ดอกทิวลิปจะบานเมื่ออุณหภูมิสูง
รูปแสดงผลการคายน้ำของพืช
๒.แสงสว่าง
– มีผลต่อการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช สาหร่าย แบคทีเรียบางชนิด
– มีผลต่อการสร้างคลอโรฟีลล์
– มีผลต่อการเปิดของปากใบ
– มีผลต่อการบานของดอกไม้ เช่น ดอกบัวจะบานเมื่อได้รับแสงสว่าง
– มีผลต่อการเคลื่อนไหวของพืช เช่น ปลายยอดจะเอนเข้าหาแสงสว่าง
– มีผลต่อการเคลื่อนที่ของสัตว์ เช่น พลานาเรียเคลื่อนหนีแสง แมลงเม่าบินเข้าหากองไฟ
– มีผลต่อการกางของใบของพืชตระกูลถั่ว
รูปแสดงผลของการสังเคราะห์แสงของพืช
๓.น้ำหรือความชื้น
– เป็นตัวกลางในการทำปฏิกิริยาเคมีของร่างกาย
– เป็นตัวทำละลายที่ดี
– ใช้ลำเลียงสารไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกาย
– ช่วยในการควบคุมอุณหภูมิของสัตว์เลือดอุ่นให้คงที่
– เป็นแหล่งที่อยู่และเป็นแหล่งอาหารของพืชและสัตว์น้ำ
– ช่วยในการถ่ายละอองเกสร
– เป็นวัตถุดิบในการสังเคราะห์ด้วยแสง
– เป็นปัจจัยที่จำกัดบริเวณการกระจายของสิ่งมีชีวิต
รูปแสดงการดำรงชีวิตของสัตว์น้ำ
๔.ดิน
– เป็นแหล่งที่อยู่อาศัย หลบภัย แหล่งอาหาร ผสมพันธุ์ และเลี้ยงตัวอ่อน
– เป็นตัวการสำคัญในการจำกัดชนิดและความอุดมสมบูรณ์ของพืชในสภาพแวดล้อมนั้นๆ
๕.กระแสลม
– มีผลต่ออัตราการคายน้ำของพืช
– ช่วยในการผสมพันธุ์ของพืชดอก
– ช่วยในการกระจายของเมล็ดพันธุ์พืชไปในบริเวณกว้าง
๖.สภาพความเป็นกรด-ด่าง
– มีผลต่อการทำงานของเอนไซม์
– มีผลต่อพืชในการนำธาตุอาหารจากดินไปใช้ได้มากหรือน้อยได้
– มีผลต่อการทำงานของจุลินทรีย์ในดิน
– มีผลต่อการปลดปล่อยธาตุ N, P, S จากอินทรีย์วัตถุเพื่อเป็นประโยชน์ต่อพืช
ประเภทของระบบนิเวศ
ระบบนิเวศอาจมีขนาดใหญ่ระดับโลก คือ ชีวาลัย (biosphere) ซึ่งเป็นบริเวณที่ห่อหุ้มโลกอยู่และสามารถมีขบวนการต่าง ๆ ของชีวิตเกิดขึ้นได้หรืออาจมีขนาดเล็กเท่าบ่อน้ำแห่งหนึ่ง แต่เราสามารถจำแนกระบบนิเวศออกเป็นกลุ่ม ๆ ได้ ดังนี้
1. ระบบนิเวศทางธรรมชาติและใกล้ธรรมชาติ (Natural and seminatural ecosystems) เป็นระบบที่ต้องพึ่งพลังงานจากดวงอาทิตย์ เพื่อที่จะทำงานได้
1.1 ระบบนิเวศแหล่งน้ำ (Aguative cosystems)
1.1.1 ระบบนิเวศทางทะเล เช่น มหาสมุทรแนวปะการัง ทะเลภายในที่เป็นน้ำเค็ม 1.2 ระบบนิเวศบนบก (Terresttrial ecosystems)
1.2.1 ระบบนิเวศกึ่งบก เช่น ป่าพรุ
1.2.2 ระบบนิเวศบนบกแท้ เช่น ป่าดิบ ทุ่งหญ้า ทะเลทราย
ทุ่งหญ้าในป่าทุ่งใหญ่กำลังเจริญงอกงามในฤดูฝน
2.ระบบนิเวศเมือง-อุตสาหกรรม (Urbanindustral ecosystems)
เป็นระบบที่ต้องพึ่งแหล่งพลังงานเพิ่มเติม เช่น น้ำมันเชื้อเพลิง พลังนิวเคลียร์ เป็นระบบนิเวศที่มนุษย์สร้างขึ้นมาใหม่
3.ระบบนิเวศเกษตร (Agricultural ecosystems)
เป็นระบบที่มนุษย์ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศทางธรรมชาติขึ้นมาใหม่
ระบบนิเวศและประโยชน์ของทุ่งน้ำจืด
น้ำ เป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดของระบบนิเวศทุ่งน้ำจืด ทั้งในด้านการกำเนิดและการดำรงอยู่ น้ำภายในทุ่งเป็นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตทั้งพืชและสัตว์ขนาดเล็กที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น จนถึงสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ การที่น้ำถูกระบายผ่านทุ่งน้ำจืดเคลื่อนที่ได้ช้า เพราะลักษณะภูมิประเทศอันเป็นที่ราบ ทำให้สิ่งที่แขวนลอยและตะกอนดินต่างๆ ที่ไหลมากับน้ำ เกิดการตกตะกอนเป็นธาตุอาหารให้กับพืชน้ำ สัตว์ชนิดต่างๆ ทั้งที่มีขนาดเล็กและขนาดใหญ่ขึ้นจะกินพืชและสัตว์เล็กๆ เป็นอาหาร เหยี่ยว งู ปลาไหล นาก ฯลฯ จะกินสัตว์น้ำ สัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก และสัตว์เลื้อยคลาน เป็นอาหารอีกต่อหนึ่ง ( วาทิตย์ เจริญศิริ, 2534 )
ทุ่งน้ำจืด เป็นแหล่งกักเก็บน้ำในวัฏจักรของน้ำ ( hydrological cycle ) ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมของโลกและตัวมนุษย์เอง
input หรือ การได้มาของน้ำในทุ่งได้จาก น้ำฝน น้ำจากแม่น้ำลำคลองที่ไหลลงมายังทุ่ง ( river runoff ) น้ำที่ไหลบ่าหน้าดิน ( surface wash ) และน้ำใต้ดิน ( ground water )
ส่วน output หรือ การสูญเสียน้ำจากทุ่ง ได้แก่ การคายระเหย (evapotranspiration) น้ำที่ไหลตามลำคลองออกไปจากทุ่ง( river runoff ) เมื่อทุ่งมีน้ำเกินความสามารถที่จะรับได้ และน้ำใต้ดิน ( ground water ) ( Hollis, 1989)
การเกิดน้ำท่วมและความแห้งแล้ง มีผลกระทบกับทุ่งน้ำจืดโดยตรง น้ำท่วมอาจทำให้สิ่งมีชีวิตในทุ่งบางชนิด เช่น หนูที่อยู่ในรูตายได้ แต่ความแห้งแล้งทำให้เกิดความเสียหายมากกว่า ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความยาวนานของน้ำท่วมและความแห้งแล้ง ข้อมูลเกี่ยวกับความถี่และช่วงเวลาของการเกิดน้ำท่วมและความแห้งแล้งช่วยในการจัดการพื้นที่ทุ่งได้
ที่มา
https://sites.google.com/site/apiratparnthong2/rabb-niwes
๑.
เนื้อหาแน่นดีครับ เหมาะสำหรับเด็กๆมาก
ตอบลบเนื้อหาสาระดีมากๆค่ะ
ตอบลบเก่งมากค่ะเนื้อหาอ่านสนุกค่ะน่าติดตาม
ตอบลบน่าสนใจมากค่ะ
ตอบลบ